วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หัวเทียน (Sparkplug)

หัวเทียน (Sparkplug)

ทำหน้าที่สร้างประกายไฟสำหรับจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ลักษณะของหัวเทียน จะมีเปลือกนอกเป็นโลหะ และมีกระเบื้องหรือเซรามิก เป็นฉนวน เคลือบอยู่ภายใน ขั้วกลางของหัวเทียน ได้รับแรงไฟมาจาก สายไฟแรงดันสูง/สายหัวเทียน (High-Tension Leads) ซึ่งต่อมาจาก จานจ่าย (Distributor) อีกทอดหนึ่ง ขั้วกลางของหัวเทียน จะยื่นผ่านศูนย์กลางของฉนวน ออกไปที่บริเวณหัวของหัวเทียน ส่วนเปลือกนอกที่เป็นโลหะ มีขั้วดินติดอยู่

ในการติดตั้งหัวเทียน จะต้องหมุนเกลียวหัวเทียน เข้าสวมไปกับเกลียวของฝาสูบ เพื่อที่บริเวณหัวของหัวเทียน จะได้ยื่นเข้าไป เป็นส่วนหนึ่งของห้องเผาไหม้ กระแสไฟจุดระเบิด จะวิ่งเข้ามาที่จุ๊บหัวเทียน ผ่านศูนย์กลางหัวเทียน แล้วมาจุดประกายไฟ ที่เขี้ยวหัวเทียน (เพราะที่เขี้ยวหัวเทียน เป็นขั้ว ไฟลบ หรือ กราว์ด หรือ สานดิน ซึ่งขันเกลียวติดอยู่กับฝาสูบ) ภาพล่างจะแสดงส่วนประกอบต่างๆของหัวเทียน


ภาพล่างจะแสดงการจุดระเบิดหรือสปาร์ค ของหัวเทียน

นอกจากนี้หัวเทียนยังถูกแบ่งออกได้เป็น หัวเทียนร้อน และหัวเทียนเย็น หลายท่านคงเคยได้ยินมาก่อน มาดูกันครับ

หัวเทียนร้อน คือ หัวเทียนที่มีความสามารถระบายความร้อน จากการเผาไหม้ ออกไปสู่ภายนอกได้น้อย ซึ่งจะทำให้ตัวมันเอง มีการสะสมความร้อนเอาไว้มาก
หัวเทียนเย็น คือ หัวเทียนที่มีความสามารถ ระบายความร้อนได้ง่าย และเร็ว
หัวเทียนทั้ง 2 ชนิด ต่างกันที่ความยาวของฉนวนบริเวณส่วนหัวของหัวเทียน กล่าวคือ หัวเทียนร้อน มีฉนวนที่ยาว และแคบ ทำให้ส่งผ่านความร้อนได้ลำบาก ซึ่งตรงข้ามกับหัวเทียนเย็น ซึ่งมีฉนวนที่สั่นกว่า เมื่อเกิดความร้อนขึ้น ก็สามารถระบายออกได้ดีกว่า

ถ้ามีคำถามถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการใช้หัวเทียน ไม่ตรงกับลักษณะการใช้งาน ???

1. ใช้หัวเทียนร้อน กับเครื่องยนต์ ที่ทำงานหนัก และต่อเนื่องตลอดเวลา เป็นเวลานานๆ ความร้อน จะสะสมอยู่ในหัวเทียนมาก เมื่อความร้อนเพิ่มมากขึ้น จนถึงจุดหนึ่ง ก็มีโอกาส ที่จะเกิดการชิง จุดระเบิดก่อน เครื่องยนต์อาจได้รับความเสียหาย
2. ใช้หัวเทียนเย็น กับเครื่องยนต์ ที่ทำงานไม่หนัก เมื่อเกิดการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ หัวเทียนเย็น จะมีความสามารถในการระบายความร้อนได้เร็ว อุณหภูมิที่เกิดขึ้นตรงหัวเทียน มีโอกาสที่จะต่ำกว่าประสิทธิภาพที่ี่ควรจะเป็น จึงอาจเกิดคราบสกปรก ที่บริเวณหัวเทียน ซึ่งเป็น สาเหตุให้กระแสไฟวิ่งผ่านลำบาก เครื่องยนต์อาจวิ่งสะดุด หรือเดินไม่เรียบ ได

แล้วจะ รู้ได้ยังไงว่าเครื่องยนต์หรือรถที่ใช้อยู่จะต้องใช้เหัวเทียนแบบไหน ก็คงต้องตรวจเช็คได้จาก คู่มือ หรือ สเป็ค ของรถครับ ดีที่สุด

วิธีการสังเกต สีและลักษณะของหัวเทียน ว่า เครื่องยนต์ของคุณสมบูณร์หรือไม่

- มีสภาพสีดำแห้ง สามารถเช็ดออกได้ง่าย แสดงว่าส่วนผสมหนา


- มีสภาพน้ำมันเครื่องเปียก แสดงว่าลูกสูบ กระบอกสูบ แหวนลูกสูบสึกหรอ หรือ หลวม

- มีสภาพไหม้กร่อน แสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป อาจใช้หัวเทียนผิดเบอร์ หรือผิดสเป็ค

- มีสภาพสีขาวจับหรือสีเหลืองจับ แสดงว่าไฟอ่อนเปลี่ยนหัวเทียนให้ร้อนขึ้น

อีก กรณีที่เกิดขึ้นคือ ระบบเผาไหม้สมบูรณ์ แต่ ใช้หัวเทียนนานไปหน่อย (ซึ่งจริงๆควรเปลี่ยนนานแล้ว) เลยมีอาการหัวเทียนสึกหรอ มาดูรูปกันครับ เป็นรถของผมเอง

คุณสมบัติของหัวเทียน

1. ต้องรับแรงดันได้ 700 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
2. ทนอุณหภูมิได้ 2,500 องศาเซลเซียสหรือ 4,500 องศาฟาเรนไฮต์
3. รับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ดี
4. ทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมี
5. ต้องมีการจุดประกายไฟที่แน่นอนในทุกสภาวะการทำงานของเครื่องยนต์
6. อายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของหัวเทียนทองคำขาว หรือ Platinum จะมีอายุูประมาณ 100,000 กิโลเมตร

ส่วน หัวเทียนแบบธรรมดา จะมีอายเฉลี่ยุูประมาณ 20,000 กิโลเมตร ควรตรวจเช็คทุก 10,000 กิโลเมตร

ไหนๆก็พูดถึงเรื่องหัวเทียนแล้วจะไม่พูดถึงสายหัวเทียนก็กะไรอยู่เดี๋ยวมันจะน้อยใจ มะมาว่ากันต่ออีกหน่อยครับ

สายหัวเทียน และสายจากคอลย์ไปจานจ่าย เป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรตรวจสอบบ้างเมื่อใช้งานมานาน โดยเฉพาะรถ
ที่ผ่านการใช้งานมานานนับปี อาจเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพ หรือ แตกร้าวของสาย หรือสายขาดใน

อาการเสียของสายหัวเทียนที่พบบ่อยๆ

- รอบเดินเบาของเครื่องยนต์สดุดและเครื่องยนต์สั่นกระตุกเป็นบางครั้ง
กรณีนี้พบว่าสายเกิดการขาดใน ทำให้้การจุดระเบิดที่สูบนั้นๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง เมื่อถอดหัวเทียนของสูบนั้นๆออกมาดูจะ
พบว่ามีสภาพการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์และทิ้งคราบเขม่าไว้มากกว่าสูบอื่นๆที่ปกติ เมื่อเร่งขึ้นรอบสูงๆกลับพอทำงานได้
ไม่แสดงอาการให้เห็นก็มี ทั้งนี้อาจเพราะการสปาร์คที่ต่อเนื่องทำให้ไฟแรงสูงสามารถกระโดดข้ามได้อย่างต่อเนื่อง
ทำให้การวิเคราะห์อาการได้ลำบาก

- เครื่องยนต์สะดุดเมื่อเร่งความเร็ว และเร่งไม่ขึ้นอืดขึ้นมาเฉยๆ
เท่าที่เคยประสบมา พบทั้งสายขาดใน และสายเกิดการรั่วทำให้เกิดการสปาร์คลงกราวด์ ในกรณีที่ตำแหน่งรั่วของสายอยู่
ใกล้กันกับส่วนที่เป็นโลหะ อาการเหมือนน้ำมันไม่พอ หรือระบบส่งน้ำมันปกพร่อง หรือ คาร์บูเรเตอร์สกปรก

วิธีตรวจสอบสายหัวเทียนแบบง่ายๆ มีอยู่ 2 วิธีคือ
1.ตรวจสอบขณะเครื่องทำงานจริง โดยการติดเครื่องยนต์ไว้ จากนั้นให้ลองดึงจุ๊บยางที่เสียบเข้าที่หัวเทียนออก
โดยเริ่มจากสูบที่1ก่อน ถ้าดึงออกแล้วเครื่องมีอาการสดุด แสดงว่าสายหัวเทียนของสูบ1 ยังใช้งานได้ แต่ถ้าดึง
จุ๊บยางออกแล้วเครื่องยนต์ไม่ได้แสดงอาการอะไรเลยแสดงว่าสายหัวเทียนเส้นนั้นมีปัญหา หรือหัวเทียนอาจ
มีปัญหา จากนั้นเสียบจุ๊บยางคืนกลับเข้าที่ แล้วลองสูบที่ 2,3,4 ตามลำดับ

2.การตรวจสอบสายหัวเทียนวิธีนี้คือการวัดค่าความต้านทานของสาย โดยใช้มัลติมิเตอร์วัด ถ้าสายหัวเทียนปกติจะวัดได้
โดยประมาณ 1-10K (กิโลโอห์ม) สายสั้นจะได้ค่าน้อยกว่า ถ้ามากกว่านี้แสดงว่าสายอาจเสื่อมสภาพ ถ้าวัดแล้วไม่ขึ้นแสดง
ว่าสายขาดในในขณะทำการวัด ควรขยับสายดูด้วยเพราะบางครั้งสายที่ขาดในบางจังหวะอาจติดกันอยู่ทำให้คิดว่าสายไม่เสีย
ได้ หรือใช้วิธียืดสายให้ตรงและออกแรงดึงให้ตึงนิดๆ ขณะวัดก็ได

3 ความคิดเห็น:

  1. อยากรู้ครับว่าถ้าใช้แหวนรองหัวเทียนอีกตัว
    (รองแหวน2ชั้น)จะทำให้รถเราเพิ่มรอบตอนปลาย
    หรือป่าวครับ แล้วถ้าถอดแหวนออกทั้ง2อันให้หัวเทียนเข้าลึกจะทำให้รถเพิ่มแรงต้นไหมครับ

    ตอบลบ
  2. อยากรู้ครับว่าถ้าใช้แหวนรองหัวเทียนอีกตัว
    (รองแหวน2ชั้น)จะทำให้รถเราเพิ่มรอบตอนปลาย
    หรือป่าวครับ แล้วถ้าถอดแหวนออกทั้ง2อันให้หัวเทียนเข้าลึกจะทำให้รถเพิ่มแรงต้นไหมครับ

    ตอบลบ